ประวัติความเป็นมาการสร้างทฤษฎีเซตโดยอาศัยระบบสัจพจน์
ในสมัยก่อนตั้งแต่สมัยยูคลิด (Euclid ชาวกรีก ประมาณ 380 – 450 ปีก่อนคริสต์ ศักราช) นักคณิตศาสตร์ได้ยืนยันว่า คณิตศาสตร์แขนงต่างๆมีรากฐานมาจากเรขาคณิต เช่น เห็นว่าจำนวนมีรากฐานมาจาก คุณสมบัติทางเรขาคณิต จนกระทั่ง ถึงศตวรรษที่ 19 คาร์ล ไวแยร์สตาสส์ ( Karl Weierstrass ชาวเยอรมนี ค.ศ. 1815-1897) และ ริชาร์ เดเดคินด์ ( Richard Dedekind ) ชาวเยอมนี ค.ศ. 1813-1916) ได้นำเสนอความคิดเห็นว่า คณิตศาสตร์ทุกสาขามีพื้นฐานมาจากเลขคณิตของจำนวนธรรมชาติ (จำนวนเต็มบวก) และจำนวนจริงมาจากลำดับโคชี ( Cauchy sequence) ของจำนวนตรรกยะ ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับจำนวนจริงจึงถูกลดทอนให้อยู่ในรูปของจำนวนตรรกยะ และจำนวนตรรกยะมาจากคู่อันดับของจำนวนเต็ม และจำนวนเต็มมาจากคู่อันดับโคชี (Cauchy sequence) ของจำนวนตรรกยะ ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับจำนวนจริงจึงถูกลดทอนให้อยู่ในรูปของจำนวนตรรกะยะ และจำนวนตรรกะยะมาจากคู่อันดับของจำนวนเต็ม และจำนวนเต็มมาจากคู่ลำดับของธรรมชาติในที่สุดจำนวนจริง ตั้งอยู่บนฐานของจำนวนธรรมชาติ และแล้วในปี ค.ศ. 1888 เดเดคินด์ แสดงให้เห็นว่า จำนวนธรรมชาติสามารถพัฒนาจาก หลักการเบื้องต้นของทฤษฎีเซต
The Paradoxes ( พาราดอกซ์ )
การค้นคว้าของ เกออร์ คันเตอร์( Georg Cantor ; 1845 - 1918 ) เกี่ยวกับอนุกรมตรีโกณมิติและอนุกรมจำนวนจริง ทำให้เขาต้องคิดวิธีการเปรียบเทียบขนาดของเซตอนันต์ของจำนวนจริง เขาได้กำหนดเพาเวอร์ ( power หรือ size ) ของเซต โดยกำหนดว่า เซตสองเซตมีเพาเวอร์เท่ากัน ถ้าสมาชิกของเซตหนึ่งสามารถเข้าคู่กับสมาชิกของเซตอื่นๆได้พอดี และเพาเวอร์ของเซตจำกัดสามารถกำหนดด้วยจำนวนนับ ความคิดของเขาในเรื่องเซตอนันต์ เขามองเห็นว่า เซตอนันต์และ Transfinite numbers คู่กัน เช่นเดียวกันกับ เซตจำกัดและจำนวนนับคู่กัน ซึ่งเป็นของใหม่ในเวลานั้น แต่นักคณิตศาสตร์บางคนรังเกียจเขา และไม่ยอมรับผลงานของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของเขาก็มีประโยชน์มาก เพราะสามารถพิสูจน์ existence ของ Transcendental numbers ได้ในปี ค.ศ. 1890 จึงมีผู้ยอมรับ โดยได้นำทฤษฎีของเขาไปใช้ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ยังไม่ยอมรับอีกเมื่อมีการค้นพบ Paradoxes ต่างๆ ในทฤษฎีเซตขึ้น ซึ่ง Paradoxes เหล่านั้นก็มีการแก้ไขในกาลเวลาต่อมา
ความรู้เกี่ยวกับเซตเป็นความรู้พื้นๆ ที่เป็นธรรมชาติ และใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ มาช้านาน แต่วิชาทฤษฎีเซตที่เกี่ยวกับเซตที่เป็นนามธรรมนั้น ได้ถือกำเนิดจากงานวิจัย เกออร์ คันเตอร์
(Georg Cantor ชาวเยอรมนี 1845-1918) เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1870 การพัฒนาทฤษฏี เซตของ คันเตอร์ ยังไม่อยู่รูปของระบบสัจพจน์ ที่ชัดเจน แต่วิเคราะห์ได้ว่าการพิสูจน์ทฤษฎีของเขาเกือบทั้งหมด เขาพิสูจน์จากสัจพจน์ (axiom) 3 ข้อ ด้วยกัน ได้แก่
(Georg Cantor ชาวเยอรมนี 1845-1918) เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1870 การพัฒนาทฤษฏี เซตของ คันเตอร์ ยังไม่อยู่รูปของระบบสัจพจน์ ที่ชัดเจน แต่วิเคราะห์ได้ว่าการพิสูจน์ทฤษฎีของเขาเกือบทั้งหมด เขาพิสูจน์จากสัจพจน์ (axiom) 3 ข้อ ด้วยกัน ได้แก่
1. The axiom of extensionality ซึ่งกล่าวว่า เซตสองเซตเหมือนกัน (เซตที่เท่ากัน) เมื่อมันมีสมาชิกเป็นอันเดียวกัน
2. The axiom of abstraction ซึ่งกล่าวว่า เมื่อกำหนดคุณสมบัติใดย่อมมีเซตประกอบด้วยคุณสมบัตินั้นๆเสมอ
3. The axiom of choice ซึ่งกล่าวว่า สำหรับเซต A ใดๆ มีฟังก์ชัน f ซึ่งเซตย่อย B ≠ Æ ใดๆของ A แล้ว f(B)Î B
ทฤษฎีเซตของคันเตอร์ได้ทำให้วงการของคณิตศาสตร์พัฒนาไปอย่างมาก นักคณิตศาสตร์ได้ใช้ทฤษฎีเซตไปอธิบายเนื้อหาคณิตศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างกว้างขวางทฤษฎีเชตของคันเตอร์เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางจวบจนเกือบจะขึ้นศตวรรษใหม่ ในระหว่างปี ค.ศ. 1895 ถึง 1910 ได้มีการพบความขัดแย้งหลายประการในส่วนต่าง ๆ หลาย ๆ ส่วนของวิชาทฤษฎีเซต ในระยะแรก ๆ ของการศึกษาวิชาทฤษฎีเซตนั้น อาจทำได้โดยใช้เหตุผลเชิงสหัชญาณ การศึกษาวิชาทฤษฎีเซต ก็ยังไม่ได้ใช้ระบบสัจพจน์ จึงเกิดข้อผิดพลาดในการตอบคำถามบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเซต นอกจากนี้ ยังมีจินตานการในการคิดสร้างเซตที่สมาชิกซึ่งกำหนดคุณสมบัติที่มีลักษณะเป็นนามธรรมมากขึ้น ซึ่งพบในภายหลังว่า เซตที่สร้างขึ้นนั้นอาจจะไม่เป็นเซตก็ได้ ในตอนแรก ๆ นักคณิตศาสตร์มีความเอาใจใส่กับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยและไม่สนใจที่จะแก้ไข แต่ในเวลาต่อมา มีผู้แสดงผลงานเกี่ยวกับเรื่องข้อขัดแย้งในวิชาทฤษฎีเซต โดยในปี 1897 นักคณิตศาสตร์คู่หนึ่ง คือ บูราลี - ฟอร์ไต(Burali - Forti) ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานที่เป็นข้อขัดแย้ง แต่ข้อขัดแย้งที่ทั้งสองได้เผยแพร่มาก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกับที่แคนเตอร์ได้พบมาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อ 2 ปีก่อนที่ บูราลี - ฟอร์ไต จะเผยแพร่ออกมา และผลงานนี้ปรากฏว่า เพียงแต่ปรับปรุงนิยามเบื้องต้นบางอย่างเพียงเล็กน้อยก็พอเพียงที่จะแก้ไขให้เกิดความถูกต้องได้
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้มีการบัญญัติเป็นศัพท์เชิงเทคนิคว่า พาราดอกซ์หรือ จะอธิบายความหมายได้ว่า “ข้อความขัดแย้งกันแต่จริง”
อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1901 เบอร์แทรนด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell ชาวอังกฤษ ค.ศ. 1872- 1970) ได้ค้นพบข้อความแย้งกันแต่จริงที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับสัจพจน์ ข้อ (2) The axiom of abstractionโดยตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1903 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
พิจารณาจากความคิดที่ว่า ถ้า A เป็นเซตเซตหนึ่ง สมาชิกของ A อาจเป็นเซตก็ได้ ซึ่งในลักษณะเช่นนี้มีปรากฏอยู่ในคณิตศาสตร์เสมอ เช่น A เป็นเซตของเส้น ในขณะที่แต่ละเส้นอยู่ในรูปเดียว ในขณะที่แต่ละเส้นอยู่รูปของเซตของจุด จากแนวคิดนี้จึงนำไปสู่ความคิดที่ว่า A เป็นเซตของเซตทั้งหมดก็ได้
จากคุณสมบัติ “ xÏ x” ในขณะเดียวกัน จึงทำให้ทฤษฎีเซตของคันเตอร์ (ข้อ 2) เขียนเป็นลัญลักษณ์จะได้ $s ("x [x Îs [xÏ x])จะเห็นได้ว่า ถ้า SÎS S ÏS จะได้ SÎSนั้นคือ SÎS S ÏS SÎS S ÏS ในขณะเดียวกันจึงทำให้ทฤษฎีของ คันเตอร์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีนั่นเอง มันสร้างความสนใจให้กับนักคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก ข้อความขัดแย้งกันแต่จริงของรัสเซลล์ ดังกล่าว เกิดขึ้นเพราะสัจพจน์อันเนื่องมาจาก คันเตอร์ ได้นิยามความหมายของเซต จากสามัญสำนึก โดยไม่จัดเป็นไปตามโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ และคิดแต่เพียงว่า เมื่อสามารถกำหนดคุณสมบัติของสิ่งเราก็สามารถกล่าวถึงเซตสิ่งของทั้งหมดที่มี ที่มีคุณสมบัตินั้นๆได้ ดังนั้น ความหมายของเซตที่คันเตอร์ กล่าวไว้ว่า “ a set S is any collection of definite, distinishable objects of our intuition or our intellect to conceived as a whole” จึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป และสอดคล้อง P(x)
พาราดอกซ์ในวิชาทฤษฎีเซต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.พาราดอกซ์เชิงตรรกศาสตร์(Logical Paradox)
2.พาราดอกซ์เชิงภาษา(Semantic Paradox)
พาราดอกซ์รัสเซลล์ จัดอยู่ในประเภทพาราดอกซ์เชิงตรรกศาสตร์ ลักษณะของการเกิดพาราดอกซ์โดยทั่วไป ๆ เกิดจากการกำหนดเซตแบบเงื่อนไข หรือกำหนดคุณสมบัติของ p(x) ให้แก่สมาชิกในเซตนั้น ๆ บางครั้งอาจจะไม่สามารถสร้างเซตขึ้นตามที่กำหนดก็ได้ หรือเซตที่กำหนดไม่มีอยู่เลยก็ได้ ก็เกิดข้อเสียหายที่เป็นข้อขัดแย้งในวิชาทฤษฎีเซตได้
การเกิดพาราดอกซ์รัสเซลล์
ผ่านไปแต่ละวัน เมื่อแล่นเรือออกทะเล ก็ทำโดยการขมวดปมไว้บนเชือก ปมหนึ่งแทน 1 วันที่ผ่านไปจำนวนวันที่ผ่านไปทั้งหมดก็จำนวนปมเชือกที่ขมวดไว้นั่นเองวิธีการเช่นนี้ก็คือกระบวนการของการจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง (One – to – one Correspondence) ซึ่งเป็นการจับคู่ระหว่าง ปมเชือกกับวันที่แล่นเรือผ่านไปแล้ว และเป็นลักษณะการจับคู่ระหว่างเซตของปมเชือกที่ขมวดไว้กับเซตของวันที่ผ่านไป
ความยากลำบากในเชิงเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับเซต เกิดมีขึ้นจากวิธีการนับ หรือ วิธีทำรอยคะแนน นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน คือคันเตอร์ ได้ประยุกต์วิธีการนับที่กล่าวนี้กับเซตอนันต์(Infinite Set) เซตของจำนวนธรรมชาติ และผลที่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เรียกว่า พาราดอกซ์การประยุกต์ของคันเตอร์ดังเช่น เขาสามารถพิสูจน์ว่า เซตของจำนวนธรรมชาติสามารถจับคู่แบบหนึ่งต่อหนึ่ง กับเซตของจำนวนเต็มคู่ได้ และยังพิสูจน์ได้ว่า เซตของจำนวนธรรมชาติไม่สามารถจับคู่หนึ่งต่อหนึ่งกับเซตจำนวนจริงได้ คันเตอร์จัดเซตของจำนวนธรรมชาติ และเซตของจำนวนเต็มคู่ ให้มีลักษณะที่เขาเรียกว่า เชิงตัวเลข(Numerous) คือขนาดของจำนวนสมาชิกในเซตของจำนวนธรรมชาตินั้นแตกต่างจากขนาดของเซตจำนวนจริง เขาจึงสรุปได้ว่า สำหรับเซตอนันต์มีลักษณะของเซตอยู่อย่างน้อย 2 แบบที่แตกต่างกัน เรียกขนาดของเซตที่แตกต่างกันแบบที่กล่าวนี้ว่า จำนวนทรานซ์ไฟไนท์(Transfinite Number) ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้ใช้แทนขนาดของเซตอนันต์
การพบและการพิสูจน์ทฤษฎีบท ที่กล่าวนี้คันเตอร์จัดว่าเป็นการพบที่ยิ่งใหญ่ในวิชาทฤษฎีเซตในเรื่องเซตอนันต์
คันเตอร์ใช้อักษรฮิบบูร(Hebrew) ที่อ่านว่า อัลเลฟ (Aleph) กับมีตัวห้อยเป็นศูนย์ คือ À0 เพื่อแทนขนาดของเซตของจำนวนธรรมชาติ และใช้อักษร c แทนขนาดของเซตของจำนวนจริง
ดังนั้น จำนวนทรานซ์ไฟไนท์ c จึงมีค่ามากกว่า À0
คันเตอร์ยังมีความสงสัยต่อมาไปอีกว่า มีจำนวนระหว่างจำนวนทรานซ์ไฟไนท์ À0 และ c หรือไม่ เขาคาดคะเนว่าไม่มีจำนวนทรานซ์ไฟไนท์ใดระหว่างนี้เลย และข้อสันนิษฐานของแคนเตอร์นี้เป็นที่รู้จักกันและเรียกว่า Continuum Hypothesis ในเวลาต่อมาตัวคันเตอร์เองหรือนักคณิตศาสตร์ อื่น ๆ ไม่สามารถพิสูจน์ข้อคาดคะเนนี้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
ในปี 1900 นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ ฮิบแบร์ต (David Hilbert 1862 - 1943) ได้เขียนรายการของปัญหาทางคณิตศาสตร์ออกมารวม 50 ปัญหา และมีข้อคาดคะเนของคันเตอร์อยู่ด้วยเป็นข้อแรก
ในปี 1938 นักคณิตศาสตร์ชาวเชโกสโลวะเกีย ชื่อ เกอเดล (Godel) ได้แสดงให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มโนมติของวิชาทฤษฎีเซต มาพิสูจน์ข้อคาดคะเนของแคนเตอร์ว่าไม่เป็นจริง และเขายังแสดงอีกว่า ถ้าทฤษฎีเซตรวมเอาข้อคาดคะเนนี้ไว้ได้ ก็จะได้ว่าทฤษฎีเซตมีความไม่คงเส้นคงวา(Inconsistency)
ในปี 1986 โคเฮน (Paul Cohen) ได้แสดงให้เห็นว่า มโนมติต่าง ๆ ในวิชาทฤษฎีเซต ไม่สามารถพิสูจน์ข้อคาดคะเนได้
ในเรื่องของขนาดของเซตมีผลให้เกิดพาราดอกซ์ ดังนั้นในการพัฒนาวิชาทฤษฎีเซตในเชิงสัจพจน์ พบว่าอาจจะเกิดพาราดอกซ์ได้ จึงควรมีเงื่อนไขต่อขนาดของเซตด้วย ในการนี้จึงควรมีการจำกัดขอบเขตของเซตในแง่ของจำนวนสมาชิก หรือในแง่ลักษณะของสมาชิกที่เรากำหนดขึ้นด้วย เช่น จำกัดว่าเซตประกอบด้วยสมาชิกใดบ้างที่เราสนใจอยู่และเกี่ยวข้องปัญหาที่เรากำลังทำ เรียกเซตดังกล่าวนี้ว่า เอกภพสัมพัทธ์(Universal Set or Universe) และเซตที่เราเกี่ยวข้องก็สร้างขึ้นจากกานำสมาชิกมาจากเอกภพสัมพัทธ์นี้
ความคิดสงสัยในปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเซตที่ว่า เซตของเสือทุก ๆ ตัว เป็นเสือหรือไม่ เซตของคนทุก ๆ คนเป็นคนหรือไม่ คำตอบที่นักคณิตศาสตร์จะตอบได้ทันที และมองเห็นได้ชัดคือ เซตของเสือทุก ๆ ตัว ย่อมไม่เป็นเสือ และ เซตของคนทุก ๆ คน ย่อมไม่เป็นคน
ความสงสัยในเรื่องคล้าย ๆ อย่างนี้จึงขยายมาในเรื่องของเซตโดยเกิดมีคำถามที่ว่า เซตของทุก ๆ เซตมีอยู่ (Exist) หรือไม่ และเซตที่มีสมาชิกเป็นเซตทุก ๆ เซต มีอยู่หรือไม่ และดังได้กล่าวมาแล้วว่า มีความเป็นไปได้เกิดขึ้นในเรื่องของเซต 2 อย่าง คือ A Î A และ หรือ NÏN ได้มีปัญหาว่า เซตเป็นสมาชิกของตัวมันเองได้หรือไม่
เราจะหาคำตอบของปัญหานี้โดยการพิจารณาและวิเคราะห์ดู โดยสมมติว่า เซตบางเซตเป็นสมาชิกของตัวของมันเองได้ และสมมติว่า เซตบางเซตเป็นสมาชิกของตัวของมันเองไม่ได้ เราจะเรียกเซตชนิดที่ ตัวมันเองเป็นสมาชิกของตัวมันเองไม่ได้ หรือ SÏS ว่าเซตธรรมดา(Ordinary Set) เรียกเซตชนิดที่ตัวมันเองเป็นสมาชิกของตัวมันเองได้ หรือ SÏS ว่าเซตพิเศษ(Extraordinary Set) ดังนั้นเราจึงมีเซตอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ เซตธรรมดา และเซตพิเศษ
พาราดอกซ์รัสเซลล์เกี่ยวข้องกับเซต F ซึ่งกำหนดว่า F เป็นเซตที่มีสมาชิกเป็นเซตธรรมดานั่นคือ F = { S / SÏS }
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ F เป็นเซตธรรมดาหรือเป็นเซตพิเศษ คำตอบที่จะได้ก็คือเป็นเซตชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น การคิดตอบปัญหานี้ทำโดยการวิเคราะห์เซต F โดยการพิจารณาได้เป็น 2 กรณี
กรณีแรก สมมติว่า F เป็นเซตธรรมดา ดังนั้น FÏF ซึ่งก็คือเงื่อนไขของการเป็นเซตที่เป็นสมาชิกใน F ดังนั้น FÎF เกิดการขัดแย้ง
กรณีที่สอง สมมติว่า F เป็นเซตพิเศษ ดังนั้น FÎF ซึ่งเงื่อนไขของการเป็นเซตซึ่งได้ว่า F สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ตัวมันเองเป็นสมาชิกของตัวมันเองได้ ดังนั้น FÏF เกิดข้อขัดแย้ง
ทั้งสองกรณีก็เป็นไปไม่ได้ และไม่มีกรณีอื่น ๆ อีกแล้ว นอกจากสองกรณีนี้ ก็ได้คำตอบว่า F ไม่เป็นเซตธรรมดา หรือเซตพิเศษ
จึงมีคำตอบต่อไปอีกว่า F เป็นเซตหรือไม่
ในการพัฒนาวิชาทฤษฎีเซตเชิงสัจพจน์ เซต ๆ หนึ่งต้องสอดคล้องเงื่อนไขที่กำหนด ปรากฏว่าในกรณีที่พิจารณามาแล้วทั้งสองกรณี เซต F จึงไม่เป็นเซตจึงเป็นเหตุผลที่สนับสนุนว่า เซต F ไม่เป็นเซต โดยเฉพาะการใช้คุณสมบัติ “อยู่ใน Δ ซึ่งเงื่อนไข ของการเป็นสมาชิก ไม่มีความหมายใดเกี่ยวข้องกับเซต F
ฉะนั้นการกำหนดเซต โดยให้ A = {x / xÎx} ทำให้เกิดความขัดแย้ง ที่เรียกว่า พาราดอกซ์รัสเซลล์ ด้วยเหตุนี้นักคณิตศาสตร์จึงให้ความระมัดระวังในการกำหนดเงื่อนไข p(x) ให้แก่สมาชิก x ในเซต เพื่อป้องกันการเกิดพาราดอกซ์
จากที่กล่าวมาแล้วถึงพาราดอกซ์รัสเซลล์ จะเห็นว่ามีการขัดแย้งของข้อความอาจที่เกิดขึ้นได้จากการกำหนดเซตในแบบเงื่อนไขของสมาชิกในเซต ทั้งนี้เพราะว่าอาจจะไม่มีเซตตามระบุคุณสมบัติ ที่กำหนดไว้ในประพจน์ p(x) ก็ได้
ฉะนั้นการเขียนข้อความ p(x) ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขบอกคุณสมบัติของสมาชิก x จะต้องกำหนดให้รัดกุม คือกำหนดแล้วต้องมีเซต หรือสามารถหาเซตตามที่กำหนดไว้ในเงื่อนไข และไม่เกิดพาราดอกซ์ขึ้นด้วย
โดยปกติทั่วไป ๆ ไปแล้วในวิชาคณิตศาสตร์ได้พบข้อขัดแย้งชนิดนี้แล้วก็ต้องถูกบังคับให้ยอมรับว่า เกิดมีสัจพจน์อันหนึ่งอันใดผิดพลาดไป ในกรณีนี้จึงนำไปสรุปได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือไม่มีความหมายที่กล่าวถึงเซตที่เป็นสมาชิกของตัวมันเอง หรืออย่างที่สองก็ คือ เซตที่กำหนดนั้นไม่มีอยู่เลย
ดังนั้นการกำหนดเซตแบบเงื่อนไข เช่น
A = { x / x Î x} หรือ
B ={x / x เป็นเซตทุก ๆ เซต}
จึงไม่สมควรกำหนดเซตดังกล่าว เพราะเกิดข้อขัดแย้ง
สำหรับพาราดอกซ์เชิงภาษา เป็นพาราดอกซ์ของเบอร์รี(Berry ‘ s Paradox) เกิดขึ้นดังนี้
เบอร์รียอมรับว่า คำภาษาอังกฤษทุก ๆ คำ ได้บันทึกและให้ความหมายไว้แล้วในพจนานุกรมมาตรฐานในภาษาอังกฤษ การใช้ข้อกำหนดแบบเงื่อนไขนั้น เบอร์รีกำหนดเซต T ดังนี้ Let T be the SET OF ALL THE NATURAL NUMBERS THAT CAN BE DESCRIBED IN FEWER THAN TWENTY WORDS OF THE ENGLISH LANGAUGE
สังเกตได้ว่า จำนวนคำภาษาอังกฤษที่ใช้กำหนดเซต T นับได้ 19 คำ และความหมายของประโยคที่เขียนแทนเซต T คือ ให้ T เป็นเซตของจำนวนธรรมชาติที่สามารถอธิบายโดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างน้อย 20 คำ
เนื่องจากมีจำนวนคำในภาษาอังกฤษเป็นจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีการจัดหมวดหมู่ของคำที่เขียนเป็นตัวพิมพ์ไว้นั้นอยู่จำนวนมากมายหลายหมู่ แต่ก็มีจำนวนจำกัด ฉะนั้น T จึงเป็นเซตที่มีสมาชิกจำกัด
แต่จำนวนธรรมชาติที่มีสมาชิกมากกว่าสมาชิทุก ๆ ตัวใน T ก็มีอยู่
ขณะเดียวกันอธิบายจำนวนธรรมชาติว่า There is a LEAST NATURAL NUMBER WHICH CANNOT BE DESCRIBED IN FEWER THAN TWENTY WORDS OF THE ENGLISH LANGAUAGE.
จะเห็นว่าประโยคนี้ก็มีคำภาษาอังกฤษอยู่ 16 คำ โดยคำจำกัดความของสมาชิกในเซต T พบว่า จำนวนที่อธิบายนี้อยู่ในเซต T แต่โดยความหมายของภาษาในประโยคบอกว่า จำนวนนี้ไม่สามารถอธิบายโดยใช้ภาษาอังกฤษน้อยกว่า 20 คำได้ จึงแสดงว่า จำนวนนี้ไม่อยู่ในเซต T เกิดความขัดแย้ง
จากที่กล่าวมานี้เราเผชิญกับข้อขัดแย้ง ถ้าเรายอมรับว่ามีเซต T ดังกล่าวนี้ก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นในแง่ภาษา ดังนั้น เราจึงไม่ยอมรับเซต T ดังกล่าวนี้
การพบพาราดอกซ์ต่าง ๆ และปัญหาการมีอยู่ของเซต(Existing of Sets) ไม่ได้อยู่ในความคิดของนักคณิตศาสตร์เลย และไม่เคยได้มีการนำเสนอในเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ดังนั้นความเคลื่อนไหวของการเกิดพาราดอกซ์ในต้นศตวรรษที่ 19 จึงทำให้เกิดจุดมุ่งหมาย ในการที่จะทบทวนรากฐานของวิชาทฤษฎีเซต และวิชาคณิตศาสตร์แขนงอื่น ๆ หัวข้อที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งก็คือ การมีอยู่ของเซตแบบต่าง ๆ ที่ได้จากการกำหนดเซตด้วยคุณสมบัติบางประการนักคณิตศาสตร์รุ่นต่อ ๆ มาจึงได้ระวังในเรื่องนี้มาก เซตที่สร้างขึ้นต้องกำหนดคุณสมบัติอย่างไรและภายใต้เงื่อนไขใดที่ทำให้การกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกในเซต จะเกิดการไม่สามารถสร้างเซตขึ้นมาได้ และการสร้างเซตใหม่ ๆ จะทำได้จากเซตที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร
ในเรื่องของพาราดอกซ์เชิงภาษา คันเตอร์ก็มีความระวังอยู่แล้วในสมัยของเขาเช่น การอธิบายความหมายของเซตที่เคยได้กล่าวไว้แล้ว คันเตอร์และบรรดาศิษย์ของเขาก็ใช้วิธียอมรับด้วยสามัญสำนึกในความหมายของเซต
พาราดอกซ์มีคุณความดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ทำให้ นักคณิตศาสตร์พึงระวังการยอมรับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติของสมาชิกในเซตแต่ละเซตที่ตนสร้างขึ้นว่าจะไม่นำไปสู่การเกิดพาราดอกซ์
นักคณิตศาสตร์เป็นจำนวนมาก คิดขจัด ข้อความแย้งกันแต่จริง ของ รัสเซลล์ โดยจัดทฤษฎีเซตให้เป็นไปตามระบบสัจพจน์ และยึดหลักที่ว่าสัจพจน์ที่กำหนดขึ้นจะต้องทำให้ทฤษฎีเซตของคันเตอร์ยังคงพิสูจน์ได้ในขณะที่ข้อความแย้งกันแต่จริงจะต้องไม่เกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. 1908 แอร์นสต์ แซร์เมโล (Ernst Zermelo ชาวเยอรมนี ค.ศ. 1871-1953)ให้ความเห็นว่า ถ้า P(x) เป็นเงื่อนไขอันหนึ่งของ x เราไม่สามารถกำหนดเซตของ x ทั้งหมดที่สอดคล้องกับ P(x) แต่ถ้า A เป็นเซตหนึ่ง เราสามารถกำหนดเซตของ x ทั้งหมดที่เป็นสมาชิกของ A
และสอดคล้อง P(x)
สิ่งที่แซม์เมโล กำหนดขึ้นนั้นเป็นการเลือกสมาชิกของเซตที่มีอยู่ก่อนแล้ว ตามคุณสมบัติอันหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกว่า Selection Axiom (เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Aussonderung Axiom) และกำหนดไว้เป็นกิจจะลักษณะดังนี้
สิ่งที่แซม์เมโล กำหนดขึ้นนั้นเป็นการเลือกสมาชิกของเซตที่มีอยู่ก่อนแล้ว ตามคุณสมบัติอันหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกว่า Selection Axiom (เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Aussonderung Axiom) และกำหนดไว้เป็นกิจจะลักษณะดังนี้
“ Let A be set, and let P(x) be a st atement about x which is meaningful for every object x in A. There exists a set which consists of exactly those elements x in A which satisfy P(x)”
แซร์เมโล ได้ขจัดข้อความแย้งกันแต่จริงของรัสเซลล์ ดังนี้
จากคุณสมบัติ xÏ x และตาม The axiom of selection ของแซล์เมโล จะได้ว่า
$S("x [x ÎS xÎA Ù x Ï x ] จะได้ SÎS Û SÎAÙSÏS …………………[1]
จากตรรกศาสตร์ SÎA Ù( S ÎSÚS Ï SÛ (SÎ A ÙS ÎS )Ú (SÎ A ÙSÏS)…………[2]
ถ้า SÎA Ù S ÎS จะได้ SÏS ตาม [1] จึงทำให้เกิด SÎS Ù SÏS ซึ่งเป็นเท็จ …….…………. [3]
ถ้า S ÎA Ù S ÏS จะได้ S ÎS ตาม [1] จึงทำให้เกิด SÏ S Ù S Î S ซึ่งเป็นเท็จ .…………... [4]
จาก [3] และ [4] ทำให้ (SÎA Ù S Î S ) Ú(S Î A ÙSÏ S) เป็นเท็จ
และตาม [2] ทำให้ S Î A Ù (S ÎSÚ SÏ S) เป็นเท็จ
แต่ S ÎS Ú SÏS เป็นจริงเสมอ ดังนั้น S ÎA
และตาม [1] จะได้ SÎ S เป็นเท็จ นั่นคือ SÏS เป็นจริง จึงไม่เกิดข้อขัดแย้งกันแต่จริงดังกล่าวอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม Selection Axiom ของ แซร์เมโล ก็ยังไม่รัดกุม เนื่องจากไม่สามารถบ่งบอกกลุ่มคำที่ว่า “statement about x which is meaningful” นั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากระบบสัจพจน์ไม่ยอมรับความหมายตามสามัญสำนึก หรือญาณหยั่งรู้แต่อย่างใด และแซร์เมโล ก็ไม่สามารถให้คำตอบที่พอใจได้ แต่ต่อมาทอราล์ฟ สโกเลม (Thoralf Skolem) และคนอื่นๆ ได้เขียนให้ชัดเจนดีขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันกำหนดให้ P(x) เป็นประโยคเชิงประพจน์ หรือ ประโยคเปิดตามรูปแบบในตรรกศาสตร์
นอกจากวิธีขจัดข้อขัดแย้งดังกล่าวแล้ว จอหน์ ฟอน นอยมันน์ ( John von Neumann ชาวเยอรมนี ค.ศ. 1903-1957 )ได้คิดวิธีขจัดข้อความขัดแย้งกันแต่จริงของ รัสเซลล์อีกวิธีหนึ่ง และ เป็นวิธีขจัดข้อขัดแย้งได้อย่างสมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน ฟอน นอยมันน์ เห็นว่ามีสาระประกอบกันอยู่ 2 อย่าง ที่ทำให้เกิดข้อความขัดแย้งดังกล่าวนั้น อย่างแรกคือเซตดังกล่าว( เซต S ในข้อขัดแย้งกันแต่จริงของรัสเซลล์) ใหญ่มาก อย่างที่สองคือ เซตใหญ่ๆดังกล่าวเป็นสมาชิกของเซต
จากสาระ 2 อย่างนี้ จะเห็นได้ว่า แซร์เมโลได้แก้ไขอย่างแรกเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกัน แต่จริงของรัสเซลล์โดยไม่ให้มีเซตใหญ่ๆ เช่นนั้นเกิดขึ้น
ส่วน ฟอน นอยมันน์ ได้เสนอแนะแก้ไขสาระ อันที่ 2 โดยยอมให้เซตใหญ่ๆดังกล่าวเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ยอมให้เซตเหล่านี้เป็นสมาชิกของเซตใดอีก นั่นคือมีเซต 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นสมาชิกของเซต อีกประเภทหนึ่งเป็นเซตของสมาชิกใดไม่ได้ เรียกเซตประเภทหลังว่า ( Class) เขาจึงกำหนดให้เป็น Class axiom
ฟอน นอยมันน์ ได้ขจัดข้อความแย้งกันแต่จริงของรัสเซลล์ ดังนี้
จากคุณสมบัติ x Ïx Class axiom ของ ฟอน นอยมันน์ เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้
$s("x [x$s Û x is an element xÏx ) เมื่อพิจารณา จะเห็นได้ว่า s Î s จะได้ s Î s s Ï s
ถ้า S is an element ทำให้ sÎs และได้s Ï s เกิดการขัดแย้งกันเช่นเดิม
ดังนั้น S เป็นเซตที่ไม่เป็นสมาชิกของเซตใด เรียกว่า S เป็น class ของสมาชิกทั้งหมด
อนึ่ง มีหนังสือบางเล่มใช้ คลาส แทน เซต และใช้คลาสแท้ (proper class) แทนคลาสที่ไม่เป็นสมาชิกของ คลาส ใดเลย
หลังจากที่ แซร์เมโล และ ฟอน นอยมันน์ ได้ขจัดข้อความแย้งกันแต่จริงของรัสเซลล์ได้แล้ว ทฤษฏีเซต ยังคงมีต่อไปตามระบบของแซร์เมโล หรือ ฟอน นอยมันน์ จึงทำให้นักคณิตศาสตร์สบายใจที่จะนำทฤษฏีเซตไปอธิบายเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์แขนงต่างๆ เนื่องจากทฤษฏีเซตอธิบายได้อย่างรัดกุมและชัดเจนดีกว่า
จากเหตุและผลต่างๆดังกล่าวแล้วนั้น จึงเกิดทฤษฎีเซตระบบสัจพจน์ที่ 2 แนวทางหลักๆได้แก่
แนวทางที่ 1 เป็นแนวทางของแซร์เมโล เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1908 แต่ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ อะบราฮัม แฟรงเกล (Abraham Fraenkel) จึงได้เพิ่ม Replacement Axiom ในปี ค.ศ. 1922 และต่อมาในปี ค.ศ. 1923 สโกเลม ได้เพิ่มเติม Regularity axiom จึงสมควรจะเรียกว่าทฤษฏีเซตของ แซร์เมโล – แฟรงเกล – สโกเลม (Zermelo–Fraenkel- Skolem )แต่เรานิยมเรียกสั้นๆว่า ทฤษฏีเซตของ แซร์เมโล – แฟรงเกล (Zermelo–Fraenkel) โดยใช้ลัญญาลักษณ์ ZF และใช้ ZFC เมื่อต้องการย้ำว่าสัจพจน์มีการเลือก(Choice Axiom) ของแซร์เมโลร่วมด้วย
แนวทางที่ 2 เป็นแนวทางของ ฟอน นอยมันน์ เขาเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1925 และ พอล เบอร์เนย์ (Paul Bernays) ได้พัฒนาให้สอดคล้องกับระบบสัจพจน์ในผลงานปี ค.ศ. 1937 และในผลงานของ กูร์ต เกอเดล (Kurt Godel) ปี ค.ศ. 1940 ได้ดัดแปลงแก้ใขให้เข้าใจง่ายขึ้น จึงเรียกว่าทฤษฏีเซตของ ฟอน นอยมันน์ – เบอร์เนย์ – เกอเดล (von Neumann-Bernays-Godel)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น